สมองเงินล้าน #4 เข้าใจตัวเอง…รู้จุดอ่อนและจุดแข็ง 1/2


เข้าใจตัวเองรู้จุดอ่อนและจุดแข็ง
        ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน  คุณค่าของมนุษย์เราอยู่ที่สิ่งที่ทำออกมา  ไม่ได้อยู่ที่ใครยากดีมีจนมากกว่ากัน  ดังนั้นหากเราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ดี  ก็ไม่ต้องน้อยใจหรือเสียใจไป เพราะการพัฒนาตนเอง  พัฒนางานที่ทำอยู่นั้นสำคัญมากกว่า  และสามารถเริ่มพัฒนาตนเองได้ด้วยวิธีการ  ดังต่อไปนี้

เทคนิคการพัฒนาตนเอง (กำจัดจุดด้อยและพัฒนาจุดเด่น)
        คนเราไม่ได้เกิดมาดีพร้อมไปหมดทุกด้าน  ทุกคนล้วนมีจุดด้อยละจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป  บางคนฉลาดแต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้  บางคนก็เก่งแต่นำเสนอไม่เป็น  บางคนทำงานดี  ขยันขันแข็ง  แต่รับไม่ได้ที่ถูกคนอื่นตำหนิ  บางคนเก่งแต่ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

        สิ่งสำคัญในการพัฒนาตนเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีจุดด้อยจุดเด่นมากน้อยกว่ากัน แต่อยู่ที่ว่าใครสามารถค้นหา ยอมรับ และลงมือกำจัดจุดด้อย และเสริมจุดเด่นของตนได้มากกว่ากัน คนบางคนหาไม่เจอแม้กระทั่งจุดด้อยและจุดเด่นของตนเอง บางคนยอมรับ แต่บอกว่าแก้ไขยากหรือแก้ไขไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว



        สำหรับการพัฒนาตนเอง โดยการกำจัดจุดด้อยและเสริมจุดแข็งนั้นลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูนะครับเพื่อนๆ

        1.สำรวจค้นหาจุดด้อยและจุดเด่น สิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาตนเองคือ การค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองมีจุดอ่อน จุดด้อย ตรงไหนบ้าง สำหรับวิธีการค้นหาทำได้หลายวิธีครับ เช่น

- การเปรียบเทียบเรื่องต่างๆ กับผู้อื่น เช่น การควบคุมอารมณ์ ทักษะด้านภาษา ทักษะด้านการสื่อสาร ระบบการคิด การอ่าน การเขียน การนำเสนอ รวมถึงวินัยในตนเองด้านต่างๆ

- การใช้ผู้อื่นเป็นกระจกเงา หมายถึง การให้ผู้อื่นวิเคราะห์จุดด้อยและจุดเด่นของเราว่าเป็นอย่างไร เช่น พ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยา เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง เพราะจะทำให้เราสามารถมองเห็นตัวเองในทุกมิติ เพราะบางจุดเราไม่ได้แสดงออกให้คนบางกลุ่มเห็น เช่น พ่อแม่อาจจะไม่รู้ถึงทักษะการสื่อสารของเรา แต่พ่อแม่อาจจะรู้ดีเกี่ยวกับนิสัยลึกๆของเรา ซึ้งเพื่อนร่วมงานอาจจะไม่รู้

        - การใช้แบบทดสอบ เราสามารถทดสอบจุดด้อยและจุดเด่นของเราตามแบบทดสอบต่างๆ เช่น แบบทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อดูลักษณะนิสัย แบบทดสอบทางภาษา แบบทดสอบการคำนวณ

        - การนำเอาปัญหาและความสำเร็จในชีวิตมาทบทวนเพื่อหาจุดด้อยและจุดเด่น เช่น ทบทวนดูว่าเรารับอะไรไม่ได้ เรื่องอะไรที่เราไม่ชอบมากที่สุด เรื่องอะไรที่เรายังแก้ปัญหาไม่ตก ในขณะเดียวกันก็ให้ทบทวนดูความสำเร็จที่เราได้รับเกิดจากอะไร เช่น การที่เรามีหน้าที่การงานที่สูงในปัจจุบันเพราะเราเรียนเก่ง หรือเพราะเราทำงานดี หรือเพราะเราเข้ากับหัวหน้าได้ดี.........อ่านต่อคลิก

ขอขอบคุณภาพจาก>>dmc.tv

หวังว่าบทความที่นำมาฝากเพื่อนๆจะเป็นประโยชน์นะครับ
ถ้าชอบ คอมเม้น หรือ แชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมขอบคุณครับ


แด่ความสำเร็จของทุกๆท่าน
อภิชา เชาวนาศิริ
สวัสดีครับ


ใช้คุณหรือเปล่า ที่ต้องการเรียนรู้เคล็ดลับ ฟรีๆ วิธีการทำเงินจากที่บ้านถ้าใช้ รีบด่วน ! ก่อนระบบจะเต็ม กรอกชื่อและ E-Mail ด้านล้าง
ปล.กลับไปที่ E-Mail ของท่านเพื่อยืนยันรับข้อมูล


ธรรมชาติของธุรกิจเครือข่าย

ธรรมชาติของธุรกิจเครือข่าย
        ธรรมชาติของ ธุรกิจเครือข่าย หรือที่คนมักจะเรียกกันว่า ขายตรง , MLM นั้นจริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิด จึงเป็นเหตุให้หลายๆคนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำธุรกิจเครือข่าย เพราะรู้สึกว่าเป็นการนำเสนอขายของแบบตรงๆ



        การขายตรงนั้นจริงๆ แล้ว คือการนำสินค้าจากษริษัทผู้ผลิตไป เคาะประตูตามบ้าน แล้วทำการเสนอขายต่อผู้บริโภค แต่สำหรับธุรกิจเครือข่ายจะแตกต่างกัน การใช้ระบบเครือข่ายก็คือ ระบบทางการตลาดที่เปิดโอกาสให้  คนที่เป็นผู้บริโภค”  ได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างมาก โดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและเกิดความเสี่ยง

        ธุรกิจประเภทนี้ เริ่มต้นด้วยสินค้าซึ่งบริษัทนั้น จะมีสินค้าที่มี  คุณภาพสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป  เพื่อเป็นการขายตัวเองให้คนที่ใช้สินค้าเกิดความประทับใจ ใช้แล้วอยากใช้อีกอยากแนะนำให้คนอื่นๆใช้ด้วย

        การแนะนำสินค้ากันแบบปากต่อปากนี้เอง เมื่อมีคนซื้อของไปตามคำแนะนำก็ทำให้คนที่ผลิตสินค้า สามารถเอาสินค้าไปหาผู้บริโภคได้โดยตรง

        ซึ่งเดิมทีเราจะรู้จักแบบการค้าขายของระบบทุนนิยม จะเริ่มต้นด้วยการผลิตสินค้าที่โรงงาน มีพ่อค้ารายใหญ่มารับสินค้าไปขายต่อให้พ่อค้ารายย่อย จากพ่อค้ารายย่อยก็จะส่งต่อไปยังพ่อค้าปลีก และเราก็ไปซื้อสินค้าจากพ่อค้าปลีกเหล่านั้น



        ระบบนี้ทำให้กำไลตกไปอยู่กับกลุ่มพ่อค้ามากกว่า 60% การที่มีระบบเครือข่ายเข้ามาทำให้ผู้ผลิตไม่ต้องเสียค่าโฆษณาสินค้า ค่าขนส่ง และอื่นๆ แบบที่เป็นในระบบเดิม แต่เอาเงินส่วนนั้นมาแบ่งให้ผู้บริโภคหรือคนซื้อ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือมีการใช้สินค้าแล้วบอกต่อ เป็นชั้นๆ ตามที่ระบบแผนการตลาดของบริษัทนั้นได้กำหนดขึ้นมา

        ระบบแบบนี้ ทำให้ผู้ซื้อมีรายได้ที่ถูกแบ่งมาให้กว่า 60% จากการ  บอกต่อ  สิ่งที่พิเศษก็คือ ธุรกิจเครือข่าย สามารถขยายตัวจากคนที่เขามาบริโภคได้อย่างไม่จำกัดจำนวน อาศัยการบอกต่อจากหนึ่งคน ไปสู่ 2-3 คน และ 2-3 นั้นก็บอกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ธุรกิจเครือข่าย ที่พูดกันว่าลงทุนน้อยได้กำไลมาก ความหมายที่แท้จริงนั้นก็คือ ใช้ คน ในการเปิดสาขาขึ้นมาใหม่ แทนที่จะต้องลงทุนเปิดร้าน หาทำเล จ้างลูกจ้างมาทำงานนั้นเอง


หวังว่าบทความที่นำมาฝากเพื่อนๆจะเป็นประโยชน์นะครับ
ถ้าชอบ คอมเม้น หรือ แชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมขอบคุณครับ


แด่ความสำเร็จของทุกๆท่าน
อภิชา เชาวนาศิริ
สวัสดีครับ


ใช้คุณหรือเปล่า ที่ต้องการเรียนรู้เคล็ดลับ ฟรีๆ วิธีการทำเงินจากที่บ้านถ้าใช้ รีบด่วน ! ก่อนระบบจะเต็ม กรอกชื่อและ E-Mail ด้านล้าง
ปล.กลับไปที่ E-Mail ของท่านเพื่อยืนยันรับข้อมูล


เงินสี่ด้าน Robert Kiyosaki

เงินสี่ด้าน Robert Kiyosaki
เงินสี่ด้าน หมายถึงอะไร? มันก็คือลักษณะอาชีพและรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันไป แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.Employee (ลูกจ้าง)
2.Self-employed (ธุรกิจส่วนตัว)
3.Business owner (เจ้าของธุรกิจ)
4.Investor (นักลงทุน)



        โรเบิร์ต ที คิโยซากิ (Robert Kiyosaki) จะอธิบายรายได้แต่ละประเภท เงินแต่ละด้าน ว่ามีความสำคัญอย่างไรกับการใช้ชีวิตและงานอะไรที่สามารถทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้  ไปดูวีดีโอกันเลยครับเพื่อนๆ



        โรเบิร์ต ที คิโยซากิ นักธุรกิจและนักเขียนชื่อดังเคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือเงินสี่ด้านว่า  พ่อจนของผมสอนผมว่า เวลาที่ไปโรงเรียนควรตั้งใจเรียนทำคะแนนสอบให้ได้ดีแล้วจะได้งานที่มั่นคงทำ นั้นหมายความว่าพ่อพยายามจะโปรแกรมให้ผมอยู่ในด้าน E (Employee) ในขณะที่แม่ก็มักจะบอกเสมอว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวยก็ต้องเป็นแพทย์หรือนักกฎหมาย เพราะว่าเป็นอาชีพที่ทำส่วนตัวได้ และจะมีงานทำตลอดชีวิต


        แต่ พ่อรวย ของผมสอนว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวย เธอต้องทำธุรกิจส่วนตัว และคนส่วนใหญ่ไม่มีวันจะรวยได้เพราะมัวคิดถึงแต่ธุรกิจของคนอื่น และถ้าเธอต้องการที่จะมีอิสระ เธอก็จะต้องคิดถึงการสร้างธุรกิจส่วนตัวและธุรกิจส่วนตัวที่พ่อรวยสอนผมหมายถึง ธุรกิจในด้าน B (Business owner) ไม่ใช้ S (Self employers หรือ Small business owner)”

        คำกล่าวนี้ของโรเบิร์ต นับว่าน่าสนใจมากทีเดียว เพราะโรเบิร์ตให้คำตอบที่แสดงความแตกต่างของคำว่า  เจ้าของธุรกิจ  กับ  เจ้าของธุรกิจส่วนตัว  ได้ชัดเจนว่า คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ (B) จะสามารถปล่อยวางงานของเขาได้ เป็นปี เมื่อเขากลับมาแล้วธุรกิจก็ยังคงดำเนินอยู่  และอาจจะได้กำไลมากขึ้นด้วย ส่วนคนที่ประกอบกิจการส่วนตัวนั้นไม่อาจจะหยุดงานได้ และต้องทำงานหนักวันหนึ่งเกิน 8-12 ชั่วโมง และถ้าเมื่อไหร่หยุดงานรายได้ก็หยุดตามไปด้วย


        ดังนั้นเพื่อนๆที่อ่านอยู่ก็เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ ที่ผมจะบอกว่าให้เพื่อนๆริเริ่มทำ  ธุรกิจเครือข่าย สัก 1 อย่าง เพราะว่ามีอยู่มากมายหลายยี่ห้อและขอให้พิจารณาให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจว่า บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเครือข่ายไหนที่พอจะตอบโจทย์ปัญหาของเพื่อนๆได้หรือไม่ แล้วค่อยๆ เริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการศึกษาให้จริงจังเสียก่อน ที่สำคัญคือ ต้องทำแบบต่อเนื่องให้ยาวนานพอด้วย

        เหตุผลหนึ่งที่เราควรหันมาทำธุรกิจแบบนี้ไว้บ้าง เพราะเชื่อหรือไม่ว่า สักวันคนใกล้ตัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อน ญาติ พี่น้อง หรือเพื่อนที่ทำงาน ต้องมีสัก 1 คน มาชวนให้ทำ ธุรกิจเครือข่าย อย่างแน่นอน และต่อให้ปฏิเสธธุรกิจเครือข่ายที่ใครก็ตามมานำเสนอในวันนี้ไป ในวันข้างหน้า 5 ปี หรือ 10 ปี ก็จะต้องมีคนมาชวนเพื่อนๆอีก แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูก่อนเลย เพราะถ้าทำสำเร็จหรือใกล้เคียง เราก็ร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน ดีกว่าจะอยู่และคิดแบบเดิมๆ โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

หวังว่าบทความที่นำมาฝากเพื่อนๆจะเป็นประโยชน์นะครับ
ถ้าชอบ คอมเม้น หรือ แชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมขอบคุณครับ


แด่ความสำเร็จของทุกๆท่าน
อภิชา เชาวนาศิริ
สวัสดีครับ


ใช้คุณหรือเปล่า ที่ต้องการเรียนรู้เคล็ดลับ ฟรีๆ วิธีการทำเงินจากที่บ้านถ้าใช้ รีบด่วน ! ก่อนระบบจะเต็ม กรอกชื่อและ E-Mail ด้านล้าง
ปล.กลับไปที่ E-Mail ของท่านเพื่อยืนยันรับข้อมูล